กรมควบคุมโรค
เตือนผู้ปกครองระวังเด็กจมน้ำในวันลอยกระทง หลังพบสถิติปี 2554
เพียงคืนเดียวของวันลอยกระทงจมน้ำเสียชีวิต 21 คน
ในจำนวนนี้เป็นเด็กถึง 10 คนหรือสูงเป็น 3 เท่าของวันปกติ
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
กล่าวว่า วันลอยกระทงในปี 2555 นี้ ตรงกับวันพุธที่
28 พฤศจิกายน
ซึ่งในวันลอยกระทงทุกปีจะมีคนจมน้ำเสียชีวิตจำนวนมาก ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุข
จึงมีความห่วงใยประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ซึ่งสถิติใน 10
ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2545-2554) พบว่าการจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของเด็กไทย
(อายุต่ำกว่า 15 ปี)
โดยเฉลี่ยปีละประมาณ1,352
คน และในวันลอยกระทงเด็กก็จะมีความเสี่ยงต่อการตกน้ำ
จมน้ำมากขึ้นกว่าในช่วงวันปกติ
เนื่องจากต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือต้องเดินทางทางน้ำ
และจากการที่มีผู้คนเดินเบียดเสียดกันจำนวนมาก
อาจทำให้พลัดตกลงไปในน้ำได้ง่าย
จึงขอเตือนประชาชนที่จะพาบุตรหลานไปลอยกระทงให้เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น หากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15
ปี ควรดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้เด็กอยู่ใกล้แหล่งน้ำตามลำพัง
จากข้อมูลการเสียชีวิตจากการจมน้ำ
ของสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค และสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์
กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่
พ.ศ.2550-2554) ในวันลอยกระทงวันเดียวมีคนจมน้ำเสียชีวิต 102
คน เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 40 คน คิดเป็น 39.6 %
ของทุกกลุ่มอายุ สำหรับในปี 2554
เฉพาะวันลอยกระทงวันเดียวมีคนจมน้ำเสียชีวิตสูงถึง 21 คน
ในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ประมาณครึ่งหนึ่ง คือ 10 คน
หรือสูงเป็น 3 เท่าของวันปกติ
(วันปกติเฉลี่ย 3
คนต่อวัน) ซึ่งเด็กที่จมน้ำในช่วงวันลอยกระทงมักมีความเกี่ยวข้องกับการที่เด็กอยู่ใกล้แหล่งน้ำและพลัดตกลงไป
นอกจากนี้ยังมีเด็กอีกส่วนหนึ่งที่ลงไปเก็บกระทงหรือเก็บเงินในกระทง
ด้านดร.นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค
กล่าวว่า
จากข้อมูลที่ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวมาข้างต้น
ในปี 2555 นี้
ประชาชนจึงควรเพิ่มความระมัดระวังในการไปลอยกระทงเพราะเสี่ยงต่อการจมน้ำและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่ยังช่วยเหลือตนเองไม่ได้เมื่อตกน้ำ
จึงขอแนะนำวิธีการปฏิบัติ ดังนี้
1.ผู้ปกครองควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด
เมื่อเด็กอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือยืนใกล้ขอบบ่อ/สระ
เพราะอาจพลัดตกลงน้ำได้
2.เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เด็กต้องอยู่ในระยะที่คว้าถึง
การหันไปทำกิจกรรมต่างๆ เพียงเสี้ยววินาที โดยปล่อยให้เด็กลอยกระทงตามลำพังในกะละมัง
หรือถังน้ำ ก็อาจทำให้เด็กจมน้ำเสียชีวิตได้ และหากเป็นกลุ่มเด็กอายุ
3-5 ปี
เด็กต้องอยู่ในระยะที่มองเห็นและเข้าถึงทันเวลา
3.ไม่ปล่อยให้เด็กลงไปเก็บกระทงหรือเก็บเงินในกระทงที่ลอยในน้ำ ผู้ปกครองควรห้ามหรือไม่ปล่อยให้เด็กลงไปเก็บกระทงอย่างเด็ดขาด เด็กอาจจมน้ำ เนื่องจากเป็นตะคริวเพราะอยู่ในน้ำเป็นเวลานานและสภาพอากาศหนาวเย็นด้วย
4.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำหนดพื้นที่ที่ชัดเจนสำหรับการลอยกระทงและจะต้องทำสิ่งกั้นขวางเพื่อป้องกันเด็กตกในน้ำ
และควรมีผู้ดูแลพร้อมทั้งเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือที่หาได้ง่ายไว้ในบริเวณดังกล่าว
5.ผู้จัดการพาหนะทางน้ำ
ต้องเตรียมชูชีพสำหรับผู้โดยสารให้พร้อมทุกคน
รวมทั้งพิจารณาจำนวนผู้โดยสารว่ามากเกินไปหรือไม่
ก่อนที่จะใช้บริการทางเรือ เพื่อไปลอยกระทงกลางแม่น้ำ
6.หากพบคนตกน้ำ ควรช่วยเหลือ ดังนี้ 1)
การช่วยคนตกน้ำขึ้นมาจากน้ำ ต้องรู้วิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้อง
และห้ามกระโดดลงไปช่วยอย่างเด็ดขาด
เพราะอาจจะทำให้ถูกกอดรัดและจมน้ำเสียชีวิตพร้อมกัน
จึงควรมีวิธีการช่วยดังนี้ ตะโกน
โยน ยื่น ได้แก่ ตะโกน :
เรียกให้คนมาช่วยและโทร 1669 โยน :
หาอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวสำหรับโยนไปช่วยคนตกน้ำ
เช่น ขวดน้ำพลาสติกเปล่า ถังแกลลอนพลาสติกเปล่า
อุปกรณ์ที่ลอยน้ำได้
(โยนพร้อมกันครั้งละหลายๆ ชิ้น) ยื่น :
หาอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวยื่นให้คนตกน้ำจับ เช่น ไม้ กิ่งไม้ 2)
หากช่วยคนตกน้ำขึ้นมาจากน้ำแล้ว ถ้าผู้ป่วยยังรู้สติดีและหายใจได้ดี
ให้ผู้ป่วยนอนราบกับพื้น
เช็ดตัวให้แห้งและให้ความอบอุ่น ถ้าผู้ป่วยรู้สึกตัว
แต่ไอและอาเจียนให้ผู้ป่วยนอนตะแคงคว่ำ
เพื่อให้อาเจียนและเสมหะไหลออกได้ง่าย เช็ดตัวให้แห้งและให้ความอบอุ่น
แต่หากผู้ป่วยหมดสติ ไม่หายใจ
และไม่กระดุกกระดิกเลยหรือคลำชีพจรไม่ได้
ให้ช่วยฟื้นคืนชีพโดยการเป่าปากติดต่อกันหลายๆ ครั้งและนวดหัวใจ
โดยการกดที่บริเวณกลางหน้าอก ลึกประมาณ 1-1.5 นิ้ว ความถี่ 100
ครั้งต่อนาที
ที่สำคัญต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้านหรือโทรแจ้ง
1669 โดยเร็วที่สุด
และต้องนำส่งโรงพยาบาลทุกราย หากสงสัยในวิธีปฏิบัติ
สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮ็อตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข
โทรศัพท์ 1422
|